โก๋ครบโหล (7) ปีที่เจ็ด อำลาสวนดอก
งานเลี้ยงยังมีวันเลิกรา ...มันเป็นธรรมดาของการร่วมทาง
ชีวิตการทำร้านกาแฟ ไม่ได้เหมือนอย่างในหนังสือพ็อคเก็ตบุคที่วางขายกันตามร้าน ทำนองว่ามีไร่กาแฟ รอยยิ้ม กลิ่นหอมๆ ขนมหวาน เพลงแจ๊ซ ฯลฯ แต่มันยังอาจจะมีเสียงบ่น คนนินทา หรือกระทั่ง คราบน้ำตา เป็นฉากหลังร้านอยู่ก็ได้
ทำร้านมาหลายปี กว่าจะเริ่มมีกำไรพอให้เก็บให้แบ่งกันก็ปาเข้าไปตอนปีที่หกเข้าปีที่เจ็ด ผมในฐานะผู้จัดการร้านรู้สึกดีใจที่ร้านเรามีอายุมาจนถึงวันจ่ายเงินปันผลให้แก่หุ้นส่วนทั้งสองคน โดยผมอยู่ในฐานะของหุ้นใหญ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมรู้สึกกดดันมากที่ไม่สามารถทำผลงานด้านการเงินได้น่าพอใจ ถึงแม้ทางหุ้นส่วนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่แบ่งส่วนหน้าบ้านให้เราเช่าทำการจะได้รับเงินค่าเช่า ส่วนผมก็ได้เงินเดือนในฐานะผู้จัดการ แต่มันไม่ใช่เป้าหมายของการลงทุนของเราเมื่อหกปีที่แล้ว
ร้านจัดเงินปันผลงวดแรกออกมาเกือบสองแสนบาท วันปันผลเป็นวันแห่งความสุขของเราทุกคน ผมคิดว่าร้านของเรากำลังไปได้สวย การเงินของครอบครัวเราจะต้องดีขึ้นไปตามลำดับนับจากวันนี้
แต่เพียงแค่หนึ่งเดือนผ่านไป ผมก็ต้องปรับตัวรับสถานการณ์ใหญ่อีกครั้ง...เมื่อหุ้นส่วนบอกว่าร้านโก๋ต้องย้ายออกจากบ้านเดิมเพราะเจ้าของบ้านตัวจริงคือพ่อ-แม่ ต้องการพื้นที่คืนเพื่อความเป็นส่วนตัวหลังวัยเกษียณเสียที ผมยอมรับการตัดสินใจของเจ้าของบ้าน ขอเพียงเวลาหาทำเลใหม่และเตรียมการย้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้..ที่จริงผมก็พอสัมผัสถึงสัญญาณพิเศษอะไรบางอย่างอยู่บ้าง เพียงแต่ไม่คิดว่าจะเกิดเร็วและแรงขนาดนี้
นับจากเมษา 2553 ผมกับปุ๊กต้องทำการบ้านใหญ่กันอย่างหนัก การย้ายร้านไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะต้องใช้เงินลงทุนสูงในขณะที่ร้านแทบไม่มีเงินสดเก็บหลังปันผลเลย จะมีก็เพียงแค่เงินหมุนติดบัญชีนิดหน่อย สินทรัพย์ส่วนใหญ่ของร้านกาแฟก็เป็นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ภาชนะ โต๊ะเก้าอี้ และอาคาร (ซึ่งคงย้ายออกไปจากพื้นที่ไม่ได้)โจทย์ของเราตอนนี้ได้แก่
1. จะย้ายไปอยู่ที่ไหน?
2. จะหาเงินมาลงทุนอีกเท่าไหร่? อย่างไร?
3. เรามีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่?
4. เราจะเป็นร้านโก๋ในแบบเดิมหรือไม่?
5. ผมกับหุ้นส่วนจะยังทำงานด้วยกันไหม?
เพียงแค่ข้อแรกคือย้ายไปไหน? เราก็มืดแปดด้าน ผมกับปุ๊กตระเวนหาที่ว่างให้เช่า ห้องแถวว่างๆในเมือง เท่าที่ดูแล้วก็ไม่เห็นทำเลดีพอจะทำร้านแบบในสวนได้เหมือนกับร้านปัจจุบัน บางแห่งทำเลดีมาก เป็นที่ว่างกว้างขวางพอสร้างร้านแบบเดิมได้เต็มที่ แต่เจ้าของเขาก็ประกาศขายราคาแพงหูฉี่ ยังไงก็คงไม่มีปัญญาซื้อ
ก่อนจะถอดใจ...เราก็ได้ทางออกจากคุณป้าซึ่งเป็นลูกค้าสนิทท่านหนึ่งช่วยกรุณาแนะนำให้ไปติดต่อกับเพื่อนของท่านซึ่งมีอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าอยู่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือร้านอาหารตามสั่งเก่าๆแห่งหนึ่งที่ร้างไปแล้ว ดูจากสถานที่เราก็รู้ว่าคงต้องลงทุนปรับปรุงอีกมากทีเดียว แต่ทั้งขนาดและตำแหน่งที่ตั้งนั้น...ไม่มีที่ไหนเหมาะกับเรามากไปกว่าที่นี่อีกแล้ว!
เราตัดสินใจขอสินเชื่อจากธนาคารมาก้อนหนึ่ง พร้อมกับแจ้งทางหุ้นส่วนว่าหาทำเลใหม่ได้และจะเร่งสร้างร้านใหม่ให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนตุลา เหลือเวลาอีกประมาณสี่เดือนที่เราต้องออกแบบและดำเนินงานสร้างให้เสร็จ แต่เรายังไม่มีทั้งคนออกแบบ ไม่มีทั้งผู้รับเหมาเลย
ในเช้าอันเคร่งเครียดวันหนึ่ง ผมเหลือบไปที่โต๊ะลูกค้าก็เห็น ‘เต้’ สถาปนิกหนุ่มวัยสามสิบที่ชอบมานั่งคิดงานอยู่ในร้านของเราเป็นประจำ จึงนึกขึ้นได้ว่าน้องคนนี้เป็นลูกค้ากันมานานหลายปี เขาน่าจะเข้าใจความเป็น “โก๋” ได้ดี หากชวนเขามาช่วยออกแบบก็คงจะสื่อสารความคิด ความต้องการของเราได้ง่ายกว่าเริ่มต้นกับใครที่ไม่รู้จัก เมื่อนัดพูดคุยกันสองสามครั้ง แนวคิดในการออกแบบของเต้ที่สามารถจะปรับใช้ประโยชน์จากรูปพื้นที่ทรงสามเหลี่ยมแซนด์วิชให้ได้ประโยชน์ในการทำงานสูงสุด พร้อมกับคงเอกลักษณ์ร้านในสวนสีเขียวแบบโก๋เอาไว้ได้ประทับใจผมมาก และทำให้เรารู้ว่าเลือกคนออกแบบไม่ผิด เราตกลงเซ็นต์สัญญาร่วมงานกัน หลังจากนั้นอีกหลายปี เต้ก็กลายเป็น Designer ประจำครอบครัวโก๋
งานก่อสร้าง “โก๋กาแฟ” แห่งใหม่เริ่มขึ้นในขณะที่เราเหลือเวลาอีกสองเดือนกว่าๆ เราต้องจัดการทุกอย่างให้พร้อม ผมรับหน้าที่ดูงานก่อสร้าง ปุ๊กกับเต้ดูงานออกแบบ ในขณะที่ต้องค่อยๆแจ้งข่าวการย้ายร้านให้ลูกค้าได้รับทราบ เมื่อถึงเวลา...เรากับลูกค้าจะไปด้วยกัน
ในทางธุรกิจ ผมกับหุ้นส่วนตกลงร่วมกันว่าจะจัดการแบ่งสินทรัพย์ตามบัญชีของร้านออกเป็นสองส่วนตามสัดส่วนการลงทุนของเรา โดยผมจากไปตั้งร้านใหม่พร้อมกับชื่อ “โก๋กาแฟ” ที่ปลุกปั้นมาตั้งแต่ต้น ส่วนหุ้นส่วนก็มีอิสระที่จะทำธุรกิจร้านกาแฟได้อีกโดยจะใช้ชื่อใดก็ได้...ยกเว้น “โก๋กาแฟ” ทุกอย่างจบลงด้วยดี ซึ่งสำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ทุกคนร่วมทางกันเพียงระยะหนึ่ง เมื่อถึงทางแยกเราก็เพียงแต่กล่าวลาแล้วแยกกันไปตามเส้นทางของตัว ...งานเลี้ยงถึงเวลาเลิกราแล้ว
โค้งสุดท้ายของการก่อสร้างหนักหนาสาหัสกว่าที่คิด ผมกับปุ๊กทำงานหนักกันทุกอย่าง ทั้งเรื่องแก้ปัญหาหน้างาน เรื่องการเก็บข้าวของเตรียมย้าย การบริหารเงินทุนที่มีจำกัดมากๆ ข่าวลือต่างๆหนาหูที่ชวนให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ฯลฯ เวลายิ่งใกล้กำหนดเข้ามาเรายิ่งเครียดจนหัวแทบระเบิด ...โชคดีที่มนุษย์มีน้ำตา การร้องไห้ด้วยกันก็เป็นการบรรเทาความเครียดได้อย่างหนึ่ง
แล้ววันสุดท้ายที่บ้านเก่าของเราก็มาถึง เราและลูกค้ากล่าวอำลาสถานที่อันเป็นจุดกำเนิดของเราร่วมกัน ต้องขอบคุณทุกสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเราและที่ให้เราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ที่ต้องขอบคุณมากที่สุดก็คือชาวสต๊าฟโก๋ในครั้งนั้นที่ยังยืนยันจะอยู่ร่วมกันฝ่าอนาคตที่ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือออกก้อย
เราเปิดให้บริการที่ร้านในถนนสวนดอกเป็นวันสุดท้ายเมื่อ 16 ต.ค. 2553 ซึ่งเป็นวันครบอายุ 7 ปีของโก๋กาแฟพอดี!