เคยมีคนถามว่าไม่ท้อหรือที่ร้านเกือบเจ๊ง ทนทำอยู่ได้ยังไงตั้งหลายปีกว่าที่ร้านจะเริ่มจะมีกำไร ไม่ขาดทุน?
ตอบตามตรงว่า ท้อครับ แต่ที่ยังทนสู้ต่อก็เพราะว่าเดิมพันมันสูง
หากผมเลิก (ณ วันที่เงินทุนจวนเจียนจะหมด) เราก็อาจจะยังพอเหลือเงินติดตัวกันอยู่บ้าง โดยผมก็กลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่กับงานมนุษย์เงินเดือน มีรายได้ประจำแน่นอน...ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย แต่ต้องยอมรับว่าร้านโก๋กาแฟที่เป็นเหมือนกับต้นไม้ที่ลงทุนปลูกมานานก็จะถูกโค่นลงไป หมดโอกาสออกดอกออกผลให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้น...ผมและภรรยาอาจต้องถูกกระแสลมแห่งอาชีพมนุษย์เงินเดือนพัดพาให้ห่างเหินกันออกไป ซึ่งไม่ใช่ชีวิตครอบครัวแบบที่ผมต้องการ
หากผมสู้ต่อ ผมอาจจะได้ร่มเงา ดอกผลเป็นรางวัล ชีวิตเดินหน้าต่อไปได้จากฐานที่ลงแรงลงสมองไปมากแล้ว เราจะยังสามารถมีชีวิตเรียบๆอยู่ในบ้านเมืองที่สงบพอสมควรอย่างลำปางกันต่อไป
ถามว่าแล้วจะตัดสินใจไปทางไหน? จะหยุดหรือไปต่อ?
ที่วันนั้นตัดสินใจสู้ต่อก็เพราะยังเห็นหนทางว่าไปได้ และเชื่อว่าปลายอุโมงค์นั้นคงอยู่ห่างไปอีกไม่ไกล ทนอีกนิดอีกอึดใจก็อาจจะไปถึง
การประเมินหนทางว่ายังมีความเป็นไปได้หรือไม่นั้นสำคัญมาก เพราะว่าต้องใช้การประเมินสถานการณ์รอบตัวและแนวโน้มในอนาคตที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดกาแฟที่เรายังเห็นว่ามีคนทานกาแฟเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังมีช่องว่างในพื้นที่อยู่มากพอเพราะว่ายังไม่มีร้านกาแฟเจ้าใดที่ตอบโจทย์คนในพื้นที่ได้จริง ฯลฯ
แต่เหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้เชื่อว่าเรายังไปได้คือ เรารู้แล้วว่าเราผิดพลาดที่จุดใด และการแก้ไขก็ได้ดำเนินไปพอสมควรแล้ว
ความรู้สึกที่สัมผัสถึงปัญหา หนทางแก้ปัญหา และผลตอบรับที่เริ่มกลับมานั้นมันทำให้เกิดผลลัพธ์รวมเป็นสัมผัสแห่ง “ทางรอด” ที่ถามหามานาน...ผมไม่แน่ใจนักว่าจะสามารถเรียกสิ่งนี้ว่า “สัญชาติญาณ”ได้หรือเปล่า? ..แต่ผมคงต้องเรียกมันว่าอย่างนั้น
สัญชาตญาณไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่มันเป็นผลเนื่องจากเหตุและปัจจัยบางอย่างผสมรวมเข้ากับประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน
สัญชาติญาณว่าทางรอดยังมีอยู่ไม่ไกล คือคำตอบสุดท้ายในการตัดสินใจของผม
..คล้ายๆกับการค้นพบเข็มทิศในป่าดิบ ..
เรารู้แล้วว่าหากกล้าที่จะอดทนไปตามทางในเข็มทิศนี้อีกนิด เราอาจจะมีชีวิตรอดเหลือกลับมาเล่าความหลังให้ลูกหลาน!
แต่ก็อย่างที่เล่ามา...วันนั้นมันเป็นเฮือกสุดท้ายในดงท้อของผมจริงๆ!