นับแต่เปิดร้าน...บ่อยครั้งที่ผมออกมายืนอยู่ที่หน้าร้าน ชะเง้อมองไปที่ปากซอย หวังว่าจะเห็นรถลูกค้าขาประจำเลี้ยวเข้ามาให้รู้สึกชื่นใจสักคัน แต่เมื่อมองผ่านเลยสี่แยกปากซอยของร้านตัวเองแล้วพบว่ามีรถหลายคันจอดทานกลางวันที่หน้าร้านกาแฟอีกเจ้าหนึ่ง ..ความหวังที่จะได้ใจชื้นก็กลับเปลี่ยนเป็นใจช้ำแทน! เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบๆอยู่หลายปี และกัดกร่อนหัวจิตหัวใจคนต้นทุนต่ำอย่างเหลือเกิน
ไม่ว่าจะออกโฆษณาวิทยุ ลงสปอนเซอร์หนังสือพิมพ์ ออกขายตามงานอีเว้นท์ ตระเวนเอารถจัดส่งตามออฟฟิศราชการต่างๆ ...สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นสักเท่าไหร่!
หลังจากเปิดร้านได้สองปี ผมจึงพบว่าที่จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลไปกว่า “ตัวเราเอง”
ก็ในเมื่อเรายังต้องมัวงมหาเพชรหาทองในแม่น้ำ โดยหวังว่าจะคว้าเจอทั้งที่ยังมองไม่เห็นเจ้าก้อนทองนั้นก่อนคว้าเลย...นั่นก็ต้องยอมรับอย่างกำปั้นทุบดินแล้วว่า ที่เรายังไม่รู้ว่าทางออกอยู่ที่ไหนนั้นก็เพราะว่า “เราไม่รู้” หรือพูดกันให้ชัดๆคือ “เรายังไม่มีความรู้มากพอ”
เพราะถ้าหากรู้แล้ว..เราก็ต้องรู้!
ทีนี้เมื่อถามตัวเองต่อว่า ความรู้ที่ขาดอยู่นั้นมันเป็นความรู้เกี่ยวกับอะไร? ก็ตอบได้เลยว่า “เกือบทุกเรื่อง”
ทำร้านกาแฟ ไม่ใช่เพียงแค่รู้จักสูตรชง รู้จักเครื่องชง แต่ยังต้องรู้เรื่องหลักการค้าขาย หลักการคบหาผู้คน หลักการทำงานที่ถูกต้อง ทัศนและความเข้าใจทางศิลปะ กระทั่งย้อนกลับมาตั้งคำถามเกี่ยวกับความรู้กาแฟที่เคยรู้มานั้นว่ามันเพียงพอต่อการพัฒนาคุณภาพเจ้าสิ่งที่ต้องขายอยู่ทุกวันนี้หรือไม่? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการละเลยที่จะเข้าใจใน “คน” ซึ่งเราต้องพบปะสัมพันธ์อยู่ทุกวันโดยอาชีพ
เมื่อเราเลิกชะเง้อหาลูกค้า แล้วหันมาใช้เวลาคิดปรับปรุงงานภายในร้านทุกวัน และอ่านหนังสือและบทความที่จำเป็นสำหรับงาน “บริหารร้านกาแฟ” อย่างหนัก สมาธิที่แตกซ่านก็เริ่มกลับเข้ารูปเข้ารอย การมองออกไปข้างนอกนั้นหากจะจำเป็นอยู่บ้างก็น้อยมากนักเมื่อเทียบกับการมองเข้ามาในตัวเองเพื่อค้นหาว่า “เรายังขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องใดอีกบ้าง?”
ผมรอดมาเล่าความหลังได้ในวันนี้เพราะเริ่มต้นจากการยอมรับว่า
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ไหนอื่นไกล.. แต่อยู่ที่นี่! ที่ความไม่รู้ของเราเอง