“พี่..กาแฟมันขมอ่ะ” ลูกค้าประจำคนหนึ่งพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้รับมอคค่าร้อนที่สั่งไป?
“หากพี่ยิ้มสักหน่อย กาแฟจะอร่อยมาก” เธอกล่าวต่อพร้อมกับส่งยิ้มให้
ผมตื่นจากภวังค์ความเครียด! จำได้ว่าวันนั้นเป็นช่วงเวลายากลำบากที่มีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย โดยผมแบกมันเอาไว้ในหัวแทบจะตลอดเวลา ทั้งเรื่องหากาแฟมาทดสอบจากแหล่งใหม่ เรื่องพนักงานที่ต้องปรับปรุงทักษะและทัศนคติ ไหนจะเรื่องหาแหล่งเงินทุนมาเพิ่มเติมเสริมสภาพคล่องที่ร่อยหรอลงทุกวัน ฯลฯ แม้กระทั่งขณะที่กำลังรับออเดอร์และคิดเงินหน้าเครื่องแคชเชียร์ผมก็ยังคิดตลอดเวลาจนคุยกับลูกค้ารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
จำได้ว่าผมเหมือนถูกไฟช็อตจากลูกค้าและได้รู้สีกตัวว่าหน้าตาตัวเองคงดูอมทุกข์มายืนขายกาแฟจนลูกค้าสัมผัสได้...และเป็นสาเหตุให้กาแฟขมทั้งๆที่ยังไม่ได้กิน
เมื่อกลับมานั่งคิดที่บ้าน ผมว่ากาแฟมันไม่ใช่แค่เครื่องดื่มที่อร่อยด้วยตัวมันเองเท่านั้น หากแต่ความอร่อยยังต้องพึ่งพาวิธีการส่งมอบที่ “อร่อย” อีกด้วย
หากมองให้ลึก...คนกินกาแฟแสวงหา “ความสุข” จากการกินกาแฟ ซึ่งความสุขนั้นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับ “ใจ” ของมนุษย์..ผ่านการรับรู้ทางอวัยวะรับสัมผัสคือ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย และ ใจ ดังนั้นความสุขจากภายในร้านกาแฟที่ลูกค้าแสวงหา จึงไม่ใช่เพียงแค่ได้รับเครื่องดื่มที่สังแล้วก็จบกัน แต่จำเป็นต้องได้เห็นสิ่งที่สบายตา เสียงที่สบายหู ..ไปจนถึงความรู้สึกจากสิ่งมีชีวิตรอบข้างที่ส่งเข้ามาให้ใจเขารับรู้ได้อีกด้วย
พูดง่ายๆว่า หากคนขายจิตใจไม่ดี ไม่มีความสุข คนซื้อก็รู้สึกได้ และพาลรู้สึกว่ากาแฟที่เขากำลังจะกินนี่เป็นกาแฟอมทุกข์ไปด้วย
นับจากวันนั้น ผมจึงตั้งใจกับตัวเองไว้ว่า เมื่อใดที่ปฏิบัติงานขายในร้านโก๋ ผมจะไม่แบกโลกเอาไว้ และเมื่อไม่ได้แบกโลก..ผมก็จะมีความสุขทันทีและสามารถนำออกมาให้คนรอบข้างได้ร่วมชื่นชมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงาน
หากเราสุขไม่ได้ แล้วจะเอาความสุขที่ไหนมาให้เขา?
ครับ..เรื่องความสุขนี่มันคือทั้งหมดของความเป็นร้านกาแฟแล้วจริงไหม?